การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการที่สำคัญ
- ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2559 อนุมัติให้ 1. บริษัท พีทีจีโลจิสติกส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ บริษัท อาม่า มารีน จำกัด (“AMA”) ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางทะเลโดยเรือบรรทุกสินค้าเหลว และให้บริการขนส่สินค้าเหลวทางบกโดย รถบรรทุกสินค้าเหลว จำนวน 518,000 หุ้น หรือร้อยละ 32.01 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เป็นมูลค่าการลงทุน 621.60 ล้านบาท 2. อนุมัติการออกหุ้นกู้ ในวงเงินต้นหุ้นกู้ไม่เกิน 4,000 ล้านบาท หรือในสกุลอื่นในจำนวนที่เทียบเท่า เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ และขยายธุรกิจของบริษัท
- บริษัททำการออกและเสนอขายหุ้นกู้ จำนวน 1,700 ล้านบาท อายุ 3 ปีเพื่อรองรบแผนการขยายธุรกิจตามเป้าหมาย และกลยุทธ์ของบริษัท
- บริษัทได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทให้จัดตั้ง บริษัท เอ็มไพร์เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจให้บริการติดตั้ง ตรวจสอบ ซ่อมแซม ตู้จ่ายเชื้อเพลิง สถานีบริการ และอุปกรณ์ทุกประเภท โดยบริษัทถือหุ้นเป็นจำนวน 60,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท หรือร้อยละ 60.00 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
- ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นในกลุ่มของครอบครัวรัชกิจประการ โดยการโอนหุ้นบางส่วนให้ บริษัท รัชกิจ โฮลดิ้ง จำกัด เข้าถือหุ้นแทน เพื่อรองรับการกำกับดูแลธุรกิจของครอบครัวในระยะยาว ซึ่งภายหลังจากการโอนหุ้น บริษัท รัชกิจ โอลดิ้ง จำกัด จะถือหุ้นร้อยละ 25.12 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และ ผู้ถือหุ้นสูงสุดยังเป็นบุคคลเดิม ทั้งนี้การปรับโครงสร้างดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบาย และอำนาจการบริหารจัดการบริษัท
- บริษัทเป็ดตัวผลิตภัณฑ์ใหมี “น้ำมันเครื่อง PT Maxnitron” ที่มีคุณภาพสูง โดยใช้เทคโนโลยี Syn4Max ที่เพิ่มประสิทธิภาพน้ำมันพื้นฐานให้เทียบเท่ากับน้ำมันสังเคราะห์ ทำให้เครื่องยนต์สะอาด และสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยวางจำหน่ายที่สถานีบริการน้ำมันพีทีทุกสาขา
- บริษัทได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัทให้บริษัท พีทีจีกรีน เอ็นเนอยีจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เข้าร่วมทุนกับ บริษัท เอี่ยมบูรพา จำกัด เพื่อร่วมกันจัดตั้ง บริษัท อินโนเทค กรีน เอ็นเนอยี จำกัด เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเอทานอล น้ำมันเชื้อเพลิงชีวภาพจากกากมันสำปะหลัง หรือแป้ง ตามแผนการขยายธุรกิจพลังงานทดแทนของบริษัท ทั้งนี้บริษัทย่อยถือหุ้นเป็นจำนวน 600,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 100 บาท หรือร้อยละ 60.00 ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
- ณ วันสิ้นปีบริษัทมีสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 1,407 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนสมาชิก Max Card เพิ่มมากขึ้น โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 ทั้งหมด 5.6 ล้านสมาชิก ตามเป้าหมายที่วางไว้
- บริษัทได้รับรางวัล Best CEO Award และ Best Company Performance Award จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
- บริษัทได้รับผลสำรวจจากการกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนประจำปี 2558 จัดทำโดยสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) โดยบริษัทได้คะแนนผลสำรวจการกำกับดูแลกิจการในระดับ "ดีมาก" และบริษัทได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิกของแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านทุจริต
- ประกาศนียบัตรโครงการแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต เพื่อรับรองถึงความร่วมมือในการต่อต้านการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรมตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี จัดทำโดยรัฐบาลและสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
- บริษัทได้รับรางวัล บริษัทจดทะเบียนด้านนักลงทุนสัมพันธ์ดีเด่น ประจำปี 2015 (Investor Relations Awards 2015) ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดระหว่าง 3,000 - 10,000 ล้านบาท
- ชำระเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า บริษัท ท่าฉาง (บางสะพาน) น้ำมันปาล์ม จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ("PPP") จำนวน 348.80 ล้านบาท ตามเงื่อนไขสัญญาร่วมลงทุนในโครงการปาล์มน้ำมันครบวงจร (Palm Complex) ที่ลงนามในเดือนพฤศจิกายน 2557 และแก้ไขเพิ่มเติมในเดือนธันวาคม 2557
- บริษัทและผู้ร่วมทุนในนาม บริษัท พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ จำกัด ลงนามสัญญาซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อการผลิตสำหรับ โครงการปาล์มน้ำมันครบวงจร (Palm Complex)
- บริษัทเริ่มให้บริการสถานีบริการ LPG เพื่อให้ผู้ใช้บริการ LPG ได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและบริการที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
- บริษัทย่อยจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อ จาก บริษัท พิเรนีส ออยล์ จำกัด ("PRN") เป็น บริษัท พีทีจี กรีน เอ็นเนอยี จำกัด ("PTGGE")
- จัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ บริษัท พีทีจี โลจิสติกส์ จำกัด ("PTGLG") มีทุนจดทะเบียนและชำระแล้ว 1 ล้านบาท แบ่งเป็น 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบกิจการขนส่ง ขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ก๊าซ ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม และสินค้าทุกประเภท รวมถึงคนโดยสารทั้งทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
- บริษัทลงนามสัญญาซื้อ-ขายน้ำมันระยะยาว ระยะเวลา 7 ปี มูลค่ารวม 2.5 แสนล้านบาท กับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2558-2564 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและสร้างความมั่นคงในการจัดหาผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพโดยสอดคล้องกับแผนนโยบายการขยายสถานีบริการที่จะเพิ่มขึ้นต่อไปในอนาคต
- บริษัทมีมติส่งเรื่องนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญ ในการเข้าถือหุ้นอาม่า มารีน ในสัดส่วน 32.01% หลังผ่านมติคณะกรรมการบริษัท โดนบริษัท อาม่า มารีน ประกอบธุรกิจให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางทะเลและทางบก ซึ่งบริษัทได้เล็งเห็นถึงประสิทธิภาพและโอกาสที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในด้านโลจิสติกส์ให้กับบริษัทในอนาคต
- บริษัทมีมติส่งเรื่องนำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญ ในการออกและเสนอขายหุ้นกู้ ในวงเงินไม่เกิน 4,000 ล้านบาท เพื่อการดำเนินงานและการขยายธุรกิจของบริษัท และบริษัทย่อย
- บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด
("FPT") ในสัดส่วน 9.55% ซึ่งประกอบธุรกิจขนส่งน้ำมันทางท่อ โดยบริษัทได้ตระหนักถึงศักยภาพในขนถ่ายน้ำมันที่รวดเร็วปลอดภัย และโอกาสที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการขนส่งน้ำมันให้กับบริษัทในอนาคต
- บริษัทขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 222 แห่ง เป็นสถานีบริการน้ำมันแบบ COCO จำนวน 204 แห่ง และเป็นสถานีบริการน้ำมันแบบ DODO จำนวน 18 แห่ง ทำให้ ณ วันสิ้นปี บริษัทมีสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 1,150 แห่งทั่วประเทศ มีจำนวนสมาชิก Max Card เพิ่มมากขึ้น โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2558 ทั้งหมด 3.8 ล้านสมาชิก และขณะนี้มีสถานีบริการที่จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ E20 ทั้งหมด 56 แห่ง
- บริษัทได้เข้าทำสัญญาร่วมลงทุนในกิจการผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มในเดือนธันวาคม ซึ่งเป็นโครงการปาล์มน้ำมันครบวงจร (Palm Complex) ที่เริ่มตั้งแต่การปลูกปาล์มเพื่อนำผลผลิตมาใช้ในกระบวนการผลิต จนถึงการนำน้ำมันปาล์มมาผลิตเป็นไบโอดีเซล B100 และน้ำมันปาล์มบริโภค โดยมีผู้ร่วมทุนจำนวน 3 ราย ได้แก่
- บริษัทท่าฉาง (บางสะพาน) น้ำมันปาล์ม จำกัด
- บริษัทพีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน)
- บริษัทอาร์แอนด์ดี เกษตรพัฒนา จำกัด
ทั้งนี้การดำเนินการก่อสร้างโครงการจะเริ่มประมาณไตรมาสแรกของปี 2558 โดยคาดว่า โรงสกัดน้ำมันปาล์มจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2559 และโครงการทั้งหมดจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2560
- บริษัทขยายสถานีบริการน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 212 แห่ง เป็นสถานีบริการน้ำมันแบบ COCO จำนวน 192 แห่ง และเป็นสถานีบริการน้ำมันแบบ DODO จำนวน 20 แห่ง ทำให้ ณ วันสิ้นปีบริษัทมีสถานีบริการน้ำมันทั้งหมด 951 แห่งทั่วประเทศ ทั้งนี้ทางบริษัทได้เพิ่มการจำหน่ายแก๊สโซฮอล์ E20 เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้ใช้บริการ และขณะนี้มีสถานีบริการที่จำหน่ายแก๊สโซฮอล์ E20 ทั้งหมด 22 แห่ง
- บริษัทได้ลงทุนและพัฒนาสถานีบริการน้ำมันขนาดใหญ่ รูปแบบทันสมัย พร้อมธุรกิจเสริมที่หลากหลายเพื่อให้บริการลูกค้าที่จุดพักรถเขาโพธิ์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ จุดพักรถชัยนาทจังหวัดชัยนาท โดยคาดว่าส่วนธุรกิจเสริมจะสามารถเปิดให้บริการภายในไตรมาสสองปี 2558
- บริษัทได้เปิดให้บริการคลังน้ำมันพิษณุโลกอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม เป็นคลังน้ำมันแห่งที่ 8 โดยตั้งอยู่ที่ตำบลบึงพระ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก มีขนาดปริมาณความจุน้ำมันทั้งสิ้น 7.69 ล้านลิตร ซึ่งปริมาณน้ำมันจะสำรองหมุนเวียนไว้เพื่อจำหน่ายให้กับสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ในเครือข่ายบริเวณดังกล่าว 63 สถานี โดยมีปริมาณประมาณ 10 ล้านลิตรต่อเดือน ซึ่งสามารถรองรับการขยายตัวของการบริโภคน้ำมันครอบคลุมพื้นที่ให้บริการในเขตภาคเหนือ โดยมีจังหวัดที่รับน้ำมันจากคลังพิษณุโลกถึง 8 จังหวัด ดังจ่อไปนี้ เชียงราย, พะเยา, น่าน, ลำปาง, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย และพิษณุโลก
- บริษัทได้เปิดคลังน้ำมันเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่งที่จังหวัดนครสวรรค์อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายน เป็นคลังน้ำมันแห่งที่ 9 โดยตั้งอยู่ที่ตำบลม่วงหัก อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ มีขนาดปริมาณบรรจุน้ำมันทั้งสิ้น 6.65 ล้านลิตร ซึ่งปริมาณน้ำมันจะสำรองหมุนเวียนไว้เพื่อจำหน่ายให้กับสถานีบริการน้ำมันที่อยู่ในเครือข่ายบริเวณดังกล่าว 44 สถานี ซึ่งสามารถรองรับการขยายตัวของการบริโภคน้ำมันครอบคลุมพื้นที่ให้บริการในเขตภาคเหนือ และภาคกลาง โดยมีจังหวัดที่รับน้ำมันจากคลังนครสวรรค์ถึง 6 จังหวัดดังต่อไปนี้ ชัยนาท, อุทัยธานี, นครสวรรค์, พิจิตร, กำแพงเพชร และตาก
- บริษัทจัดทำนโยบายการต่อต้านการทุจริต (Anti-Corruption Policy) และประกาศใช้กับบุคลากร ประกอบด้วยคณะกรรมการบริษัท ผู้บริหาร และพนักงานทุกคน เพื่อการดำเนินธุรกิจอย่างซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส มีคุณธรรม รับผิดชอบต่อสังคม และคำนึงถึงผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ตามหลักเกณฑ์การกำกับดูแลกิจการที่ดี
- บริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ รวมถึงการส่งเสริมความเชี่ยวชาญในงานและเพิ่มทักษะความรู้ต่างๆ เพื่อให้พนักงานเติบโตไปพร้อมองค์กร โดยบริษัทให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมแก่พนักงานทั้งฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายสนับสนุนหรือสำนักงานใหญ่ เพื่อเพิ่มศักยภาพของพนักงานทั้งความสามารถในด้านการทำงานและด้านสังคม โดยในปีนี้บริษัทมีพัฒนาการด้านการพัฒนาบุคลากร ดังนี้
- บริษัทได้จัดตั้งศูนย์การฝึกอบรมที่อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี สำหรับเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมผู้จัดการสถานีบริการน้ำมัน PT ที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และเป็นผู้บริหารงานทั่วประเทศ (COCO) เพื่อความเป็นมาตรฐานเดียวกันของสถานีบริการ รวมถึงได้จัดตั้งศูนย์การฝึกอบรมพนักงานฝ่ายขนส่งหรือพนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันของบริษัท ที่คลังน้ำมันหนองแค อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี โดยเน้นย้ำถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานซึ่งบริษัทได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
- บริษัทได้จัดให้มีการสื่อสารทิศทางองค์กร จากผู้บริหารระดับสูงไปยังพนักงานทุกคนอย่างต่อเนื่อง ผ่านกิจกรรม "CEO Talk" ที่ได้จัดขึ้นทุกไตรมาส เพื่อให้พนักงานเข้าใจแนวทางและกลยุทธ์ของบริษัทไปในทิศทางเดียวกัน
- บริษัทได้นำกิจกรรมไคเซ็น (Kaizen) เข้ามาเป็นกิจกรรมพัฒนาระบบงานทั้งฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายสนับสนุน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และเน้นย้ำค่านิยมขององค์กรด้านการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากพนักงาน เป็นการเปิดโอกาสและกระตุ้นให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมในการนำเสนอข้อคิดเห็นและการปรับปรุงการทำงานในแต่ละหน่วยงาน เพื่อให้การทำงานเป็นระบบแบบแผนมากขึ้น มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สามารถลดระยะเวลาในการทำงาน ส่งผลให้มีการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีกว่า นำมาซึ่งการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
- บริษัทได้กำหนดนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพัฒนาระบบสารสนเทศและโครงข่ายการสื่อสารของระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการควบคุมคุณภาพแหล่งข้อมูล การสร้างระบบความปลอดภัยของการเข้าถึงข้อมูลสำคัญ จัดทำแผนรองรับกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน และบริษัทได้นำระบบ ERP มาใช้เพื่อสนับสนุนกระบวนการภายใน โดยรวมข้อมูลไว้ในฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อให้ง่ายแก่การเชื่อมโยงข้อมูล รวมถึงได้นำระบบบริหารงานซ่อมบำรุง มาใช้ในการจัดเก็บอุปกรณ์ การบริหารการแจ้งซ่อม และการเปลี่ยนอะไหล่ เพื่อจัดเก็บข้อมูลให้เป็นระบบ รวมถึงการเก็บประวัติการซ่อม ทั้งนี้ยังมีการเตรียมระบบพื้นฐาน และ server เพื่อการปรับปรุงระบบเครือข่ายให้มีความปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- บริษัทได้รับการรับรองระบบความปลอดภัยท่าเรือ The International Ship and Port Facility Security (ISPS) Code ตามประกาศกรมการขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวี ว่าด้วยการรักษาความปลอดภัยของเรือ และท่าเรือระหว่างประเทศ ณ คลังน้ำมันแม่กลอง จังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อป้องกันภัยคุกคามด้านการก่อการร้ายหรือการกระทำอื่นใดอันก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในการขนส่งทางน้ำ และเป็นการสร้างความมั่นใจในระบบความปลอดภัยที่บริษัทให้ความสำคัญ
- บริษัทจัดทำระบบ CRM เพื่อทำการตลาดและส่งเสริมการขาย และรองรับสมาชิกบัตรสะสมแต้ม PT Max Card จากการเติมน้ำมันในสถานีบริการน้ำมัน PT ที่จะมีจำนวนสมาชิกเพิ่มมากขึ้นในอนาคต โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557 บริษัทมีจำนวนสมาชิก PT Max Card ทั้งหมด 2.4 ล้านสมาชิก โดยทางบริษัทได้นำข้อมูลจากระบบ CRM มาใช้วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละราย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า การบันทึกการสะสมแต้ม และการแลกของรางวัล ปัจจุบันทุกการใช้จ่ายผ่านร้านกาแฟพันธุ์ไทย สามารถนำมาสะสมแต้มในบัตร พีที แมกซ์ ได้แล้ว
- บริษัทเข้าร่วม "โครงการสถานีบริการน้ำมันเต็มลิตร" โดยได้รับมาตรฐานที่ผ่านการตรวจสอบจากกรมการค้าภายใน ตาม พ.ร.บ.มาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. 2542 และมีเครื่องตวงมาตรฐาน ขนาด 5 ลิตร ที่ใช้ในการตรวจสอบไว้ประจำสถานีบริการแต่ละสาขา เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคที่ใช้บริการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงจากสถานีบริการน้ำมัน PT ว่าได้ปริมาณน้ำมันที่ได้คุณภาพเต็มจำนวน ทั้งนี้ บริษัทยังมีหน่วยตรวจสอบน้ำมันเคลื่อนที่ (Mobile Lab) สำหรับสุ่มตรวจคุณภาพน้ำมันที่จำหน่ายอีกด้วย
- บริษัทเล็งเห็นถึงความปลอดภัย และการควบคุมมาตรฐานการซ่อมบำรุงของสถานีบริการน้ำมันอย่างต่อเนื่อง โดยปกติจะมีการตรวจมาตรฐานการบำรุงรักษาเชิงป้องกันภายในเป็นประจำทุก 4 เดือน (Preventive Maintenance) นอกจากนี้ บริษัทได้มีการกำหนดมาตรฐานการให้บริการและมีการตรวจติดตามคุณภาพการให้บริการของสถานีบริการตามมาตรฐานที่กำหนดผ่าน Mystery Shopper เป็นประจำ ซึ่งเป็นเครื่องมือตรวจสอบที่ช่วยให้ทราบถึงมาตรฐานการบริการที่แท้จริง และวิธีการปรับปรุงเพื่อรักษาไว้ซึ่งคุณภาพและมาตรฐานการให้บริการของสถานีบริการ ตามที่บริษัทได้ให้คำมั่นในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงได้พัฒนาระบบการจัดการบริหารพื้นที่ในสถานีบริการน้ำมัน เพื่อเพิ่มความโปร่งใสในการควบคุมร้านค้าย่อยให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- บริษัทได้รับความไว้วางใจให้เป็นผู้สนับสนุนในโครงการมูลนิธิพระดาบสเป็นปีที่ 2 ซึ่งทางบริษัทเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาบุคคลากรของประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมอบโอกาสทางวิชาชีพแก่ศิษย์พระดาบส ทั้งในด้านเครื่องมือประกอบการเรียนการสอน และทุนการศึกษา ทั้งนี้ผู้ใช้บริการสถานีน้ำมัน PT ทั่วประเทศ ได้มีส่วนร่วมบริจาคในโครงการ "พีที เติมพลังสัมมาชีพ" ช่วงเดือนสิงหาคม ถึงกันยายน 2557 โดยสามารถรวบรวมยอดบริจาคจากการจำหน่ายน้ำมัน และการสมทบทุนเพิ่มเติม เป็นเงินทั้งหมด 15 ล้านบาท
- บริษัทได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ในการเสนอขายหุ้นสามัญ เพิ่มทุน จำนวน 420 ล้านหุ้น ในราคา 3.90 บาท โดยเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท และบริษัทย่อยจำนวนไม่เกิน 33.40 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อประชาชนจำนวน 386.60 ล้านหุ้น (รวมทั้งส่วนที่เหลือจากการเสนอขายกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานของบริษัท และบริษัทย่อย) และได้เสนอขายหุ้นสามัญดังกล่าว ในวันที่ 17 และ 20-;22 พฤษภาคม 2556 ซึ่งทำให้บริษัทมีทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นจาก 1,250.00 ล้านบาทเป็น 1,670.00 ล้านบาท และในวันที่ 30 พฤษภาคม 2556 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรับหุ้นสามัญของบริษัท เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน และทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรก
- ลงทุนในคลังน้ำมันพิษณุโลก ถือว่าเป็นคลังน้ำมันแห่งที่ 8 ของบริษัท มีขนาดปริมาณความจุน้ำมันทั้งสิ้น 7.69 ล้านลิตร ซึ่งสามารถรองรับการขยายตัวของการบริโภคน้ำมันครอบคลุมพื้นที่ให้บริการในเขตภาคเหนือ โดยมีจังหวัดที่รับน้ำมันจากคลังพิษณุโลกถึง 8 จังหวัดดังต่อไปนี้ เชียงราย, พะเยา, น่าน, ลำปาง, แพร่, อุตรดิตถ์, สุโขทัย และพิษณุโลก
- บริษัทได้รับอนุมัติมาตรฐาน ISO 9001:2008 สำหรับกระบวนการรับ จัดเก็บ และจ่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันเชื้อเพลิง (น้ำมันเบนซิน และน้ำมันดีเซล) ณ คลังน้ำมันแม่กลอง
- PTC ลดทุนจดทะเบียนลงเหลือ 439.98 ล้านบาท โดยลดมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิม 100.00 บาทต่อหุ้น เหลือ 73.33 บาทต่อหุ้น เพื่อล้างขาดทุนสะสมของ PTC
- บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท พิเรนีส ออยล์ จำกัด (“PRN”) ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น
- บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท โอลิมปัส ออยล์ จำกัด (“OLP”) ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น
- บริษัทมอบหมายให้คณะทำงานดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด (“กาแฟพันธุ์ไทย”) ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 5.00 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 50,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100 บาทต่อหุ้น และบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น จำนวน 49,997 หุ้น จากคณะทำงานที่ดำเนินการจัดตั้งกาแฟพันธุ์ไทย ในราคาหุ้นละ 100.00 บาท ซึ่งเท่ากับมูลค่าหุ้นสามัญที่ได้ชำระเพื่อจัดตั้งบริษัทที่ประชุมผู้ถือหุ้นมีมติให้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้จากเดิม 10.00 บาทต่อหุ้น เป็น 1.00 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้จำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วเพิ่มขึ้นจาก 125.00 ล้านหุ้น เป็น 1,250 ล้านหุ้น และเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 420.00 ล้านบาท เพื่อเตรียมตัวเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โดยเสนอขายต่อประชาชน
- บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งบรืษัทย่อยชื่อ บริษัท เอ็มไพร์ ออยส์ จำกัด ("EPO") ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยเเบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น
- บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท เอเวอร์เรสต์ ออยล์ จำกัด ("EVO") ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยเเบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บท ต่อหุ้น
- บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท เเอตลาส ออยส์ จำกัด ("ATL") ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยเเบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาท ต่อหุ้น
- บริษัทจดทะเบียนจัดตั้งบรืษัทย่อยชื่อ บริษัท เเอนลีส ออยส์ จำกัด ("AND") ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยเเบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น
- จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อบริษัทจากบริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน)
- บริษัทมอบหมายให้คณะทำงานดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท พีระมิด ออยล์ จำกัด (“PMO”) ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น และบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น จำนวน 9,997 หุ้น จากคณะทำงานที่ดำเนินการจัดตั้ง PMO ในราคาหุ้นละ 100.00 บาท ซึ่งเท่ากับมูลค่าหุ้นสามัญที่ได้ชำระเพื่อจัดตั้งบริษัท ต่อมาบริษัทได้ซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นอีก 1 หุ้น จากคณะทำงาน ในราคาหุ้นละ 100.00 บาท ซึ่งเท่ากับมูลค่าหุ้นสามัญที่ได้ชำระเพื่อจัดตั้งบริษัท
- บริษัทมอบหมายให้คณะทำงานดำเนินการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยชื่อ บริษัท แอลไพน์ ออยล์ จำกัด (“APO”) ทุนจดทะเบียนเท่ากับ 1.00 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 10,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น และบริษัทได้เข้าซื้อหุ้น จำนวน 9,997 หุ้น จากคณะทำงานที่ดำเนินการจัดตั้ง APO ในราคาหุ้นละ 100.00 บาท ซึ่งเท่ากับมูลค่าหุ้นสามัญที่ได้ชำระเพื่อจัดตั้งบริษัท
- บริษัทได้เจรจากับนางเลิศลักษณ์ ณัฏฐสมบูรณ์ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท ภูบดินทร์ จำกัด (“ภูบดินทร์”) ให้เข้ามาลงทุนในบริษัท โดยนางเลิศลักษณ์ ณัฏฐสมบูรณ์ ให้เงินกู้ยืมกับบริษัทเพื่อชำระหนี้ (ทั้งภาระหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์ และภาระหนี้กับสถาบันการเงินเดิม) ตามสัญญาปรับโครงสร้างหนี้ที่บริษัทได้ตกลงร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์และสถาบันการเงินดังกล่าว นอกจากนี้ นางเลิศลักษณ์ ณัฏฐสมบูรณ์ ยังได้เข้าซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (หุ้นเจ้าหนี้สถาบันการเงิน) จากสถาบันการเงินดังกล่าว ส่งผลให้นางเลิศลักษณ์ ณัฏฐสมบูรณ์ เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทรายหนึ่ง และภูบดินทร์มีฐานะเป็นบุคคลที่เกี่ยวโยงของบริษัท
- PTC เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 600.00 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 5.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น โดยออกและเสนอขายทั้งจำนวนให้กับบริษัท
- บริษัทได้ทำสัญญาปรับโครงสร้างหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์แห่งหนึ่ง ซึ่งรับโอนหนี้บางส่วนมาจากสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง (“ภาระหนี้กับบริษัทบริหารสินทรัพย์”) สำหรับหนี้ส่วนที่เหลือที่ยังไม่ได้โอนมายังบริษัทบริหารสินทรัพย์ (“ภาระหนี้กับสถาบันการเงินเดิม”) บริษัทได้เจรจาเพื่อหาแนวทางในการปรับโครงสร้างหนี้
- บริษัทลดทุนจดทะเบียนลงเหลือ 750.00 ล้านบาท โดยให้ลดทุนจดทะเบียนที่ยังไม่ได้ออกและเสนอขาย จำนวน 250.00 ล้านบาท หรือเท่ากับ 25.00 ล้านหุ้น
- บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,250.00 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 50.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 10.00 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม จำนวน 12.45 ล้านหุ้น และเสนอขายให้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง จำนวน 37.55 ล้านหุ้น ซึ่งเป็นไปตามสัญญาประนอมหนี้ที่บริษัทตกลงไว้กับสถาบันการเงินดังกล่าว (“หุ้นเจ้าหนี้สถาบันการเงิน”)
- บริษัทจดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด
- บริษัทเปลี่ยนแปลงมูลค่าหุ้นที่ตราไว้จากเดิม 100.00 บาทต่อหุ้น เป็น 10.00 บาทต่อหุ้น ส่งผลให้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจาก 5.00 ล้านหุ้น เป็น 50.00 ล้านหุ้น
- บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 1,000.00 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 50.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 10.00 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม เป็นจำนวน 5.00 ล้านหุ้น และผู้ลงทุนเฉพาะเจาะจง จำนวน 7 ราย เป็นจำนวน 20.00 ล้านหุ้น และส่วนที่เหลืออีก 25.00 ล้านหุ้นยังไม่ได้จำหน่าย
- บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 500.00 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 1.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 100.00 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
- PTC ปรับโครงสร้างการถือหุ้น โดยบริษัทเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน PTC โดยถือหุ้นร้อยละ 99.99
- บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 400.00 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 1.36 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 100.00 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
- บริษัทเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 264.00 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 2.63 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น โดยเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิม
- บริษัท ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น จำกัด (“PTC”) จดทะเบียนจัดตั้ง เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2535 โดยมีทุนจดทะเบียนเท่ากับ 100.00 ล้านบาท และแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 1.00 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้เท่ากับ 100.00 บาทต่อหุ้น
- บริษัทจดทะเบียนก่อตั้งในนาม บริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2531 โดยมีทุนจดทะเบียนเริ่มต้นเท่ากับ 1.00 ล้านบาท และแบ่งออกเป็นหุ้นสามัญจำนวน 0.01 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ 100.00 บาทต่อหุ้น